เราจะกลัวไปด้วยกัน
ถ้าคุณกำลังกลัวว่าเขาจะไม่มองเรา กลัวจะเหงาเพราะเขาไม่สน ผมช่วยอะไรไม่ได้
แต่ถ้าคุณกำลังกลัว “ผี” อยู่ อย่างน้อย ๆ เรื่องนี้อาจจะช่วยทำให้คุณรู้ว่า คุณไม่ได้กลัวอยู่ลำพัง
หลายคนคงได้เห็น ได้ยินเกี่ยวกับเกมที่โคตรจะไทยอย่าง “มาลัย กระสือสาว” กันไปแล้ว ที่ว่ามันโคตรจะไทยเพราะเอาเรื่องผีไทยและองค์ประกอบต่าง ๆ มาทำเป็นเกมได้น่าสนใจ แม้ตัวเกมจะเปลี่ยนเอาความกลัวมาเป็นความสนุก และใช้กลเม็ดแบบผีไทยติดตลกที่อยู่ในวัฒนธรรมบันเทิงไทยตั้งแต่นิยายผี การ์ตูนผีเล่มละไม่กี่บาท จนพัฒนามาสู่หนังผีตลกไทยมากมาย ที่ช่วยย้ำให้เห็นว่าเราแม่งดีลกับผีได้ไม่มากก็น้อย สำหรับมาลัยกระสือสาวเอง สิ่งที่เราคิดว่ามันตลกมาก ๆ ก็คือ มันเป็นเกมที่เราไม่ได้จะพยายามปราบผีกระสือเลย ตัวละครผู้เล่นไม่รีเสิร์ชด้วยซ้ำว่าจะเอาชนะกระสือได้ยังไง แต่สิ่งที่มึงทำคือออกหาของที่มึงคิดว่าจะสู้กับผีได้มั่ว ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่มึงไม่สามารถชนะผีได้เลยนะ โชคดีหน่อยก็แค่รอดตัวไปครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น มันจะฮา จะสนุกได้ยังไงก็ไปดูที่ชาว BGN เล่นไว้ก็แล้วกันนะฮะ
“สิ่งที่เรางงที่สุดคือ ทำไมเราต้องกลัวกระสือด้วยวะ ???”
ลองคิดดูเล่น ๆ มึงเจอคนมีสองมือสองตีนมุ่งหน้าเข้าหามึงด้วยความรวดเร็วเนี่ย มึงก็คงรู้สึกไม่ปลอดภัยแหละ แต่วันนึงถ้ามึงเจอแบบเดียวกันเลยแต่มาแค่หัวกับไส้ มึงจะรู้สึกปลอดภัยไหม ??? แว๊บแรกมึงคงตอบว่า “ไอ้เหี้ย จะไปรู้สึกปลอดภัยได้ยังไง หัวกับไส้นะโว้ยยยย” รู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลกอะไรครับ แต่ถ้าลองคิดตามต่ออีกนิด จริง ๆ แล้วที่เรากลัวกระสือนี่ อาจจะไม่ได้กลัวแบบเดียวกับที่เรากลัวคนรึเปล่าวะ…
แค่สองมือสองตีน ก็รู้สึกไม่ปลอดภัยจะแย่อยู่แล้ว
เวลาเราเจอคนแล้วต้องเผชิญหน้ากันเนี่ย เราจะประเมินตัวเองใช่ไหมว่าเราสู้ได้หรือไม่ได้ ซึ่งถ้าเรามองตามนี้จริง ๆ การเจอแค่หัวกับไส้นี่เราน่าจะสู้ได้ง่ายกว่าคนที่มาทั้งตัวมีสองมือสองตีนเสียอีกนะ แต่ที่เราและใคร ๆ กลัวกัน อาจจะเป็นเพราะไอ้ความผิดปกติที่มันมาแค่หัวกับไส้นี่แหละ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเห้ย หัวกับไส้นี่มันคืออะไรวะ แล้วเสือกลอยมาด้วยนะไม่ใช่กองอยู่กับพื้น พอมันผิดปกติหลาย ๆ อย่างเข้า เราก็ประเมินไม่ได้อะ ว่ามันทำอะไรได้บ้าง เอาง่าย ๆ ว่า ก็กูไม่รู้อะว่ามึงคืออะไร มึงทำอะไรได้บ้าง และโดยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด พอไม่รู้ก็ต้องกลัวไว้ก่อนนั่นแหละ ใคร ๆ ก็เป็นอย่างนี้กัน
ที่บอกว่าใคร ๆ ก็เป็นอย่างงี้กันทั้งนั้นนี่ ไม่ได้แค่พูดถึงเรื่องความกลัวโดยทั่วไปนะครับ แต่เราจะมาเฉพาะเจาะจงกันลงไปที่ความกลัว “กระสือ” กันเลย เพราะไม่ใช่แค่พี่ไทยเราหรอกนะครับที่กลัวกระสือ แต่เรากลัวกันเกือบทั้งอาเซียนเลยทีเดียว แต่ก่อนจะอาเซียนร่วมใจ เรามาจูนกันเรื่อง “กระสือ” สักนิด
“ผีที่ฮิต แต่ข้อมูลน้อยนิดฉิบหาย”
กระสือนี่เป็นผีที่ฮิตมาก มีเรื่องเล่าจำนวนมาก เป็นข่าวอยู่เรื่อย ๆ คิดว่าคงเคยได้ยินเรื่องราวของผีชนิดกันมาทุกคน แต่เรื่องราวและรายละเอียดก็ซ้ำ ๆ กัน โดยลักษณะที่เราคุ้นเคยกันก็คือ เป็นผู้หญิงที่ตอนกลางวันก็เป็นคนปกตินี่แหละ แต่พอกลางคืนถอดหัวกับไส้ (เครื่องใน หัวใจ ปอด อะไรแค่ไหนก็แล้วแต่เรื่องเล่า) แล้วเคลื่อนที่ด้วยการลอยหวะ ลอยนี่ไม่ลอยเปล่าเรื่องเล่าส่วนใหญ่บอกว่าระหว่างลอยนี่จะส่องแสงกระพริบ ๆ ด้วย (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงกระพริบ แต่ถ้าไม่กระพริบนี่คนก็คงไม่เห็น)
นิยายภาพ “กระสือสาว” จุดเริ่มต้นของกระแสกระสือที่ช่วยทำให้เรื่องผีนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ความน่ารันทดอยู่ตรงส่วนที่ต่อมา คือ อุตส่าห์มีความสามารถพิเศษนี้ แยกตัวกับหัว ลอยไปลอยมาได้ เพื่อออกไปหาของโสโครกกิน คือหาขี้ หาของเน่ากิน บางเรื่องเล่าที่ทำให้ดูเป็นภัยมากขึ้นก็คือออกหาเลือด หรือหารกเด็กใหม่ ๆ ที่ได้จากการคลอดลูกของคนในหมู่บ้านกิน แล้วพอกินอะไรเลอะ ๆ เสร็จ ก่อนกลับไปประกอบร่างก็จะต้องมีการแวะเช็ดปากตามผ้าของชาวบ้านที่ตากทิ้งไว้ซักหน่อย ซึ่งก็กลายเป็นสัญญาณที่บอกให้คนอื่นรู้ว่า เห้ยยยย มีกระสือในหมู่บ้านหวะ
ส่วนการเกิดขึ้นของกระสือนั้น เราไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่ถ้าตามเรื่องเล่าบ้าง ตามวรรณกรรมบ้าง ก็น่าจะมีอยู่สองแบบใหญ่ ๆ คือมีระบบสืบทอดแบบส่งน้ำลายต่อ ๆ กัน (ซึ่งไม่รู้จะสืบทอดทำไม แต่เท่าที่เข้าใจมันน่าจะคล้าย ๆ เป็นคำสาป ซึ่งก็จะสอดคล้องกับการเกิดขึ้นอีกแบบหนึ่งคือ เป็นผู้หญิงที่เล่นของ เล่นไสยใช้มนตร์ดำ จนพลาดแล้วของเข้าตัว หรือไปดีลอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้พลังพิเศษมาแล้วต้องแลกกับการเป็นกระสือ
อะ ก็จบไปกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกระสือแบบไทย ที่ถ้ามองตามนี้แล้ว ดูไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยเท่าไหร่จนเราต้องกลัว แต่ดูเหมือนว่าความกลัวจะก่อตัวขึ้นมาได้เพราะกระสือถูกมองว่าผิดปกติ เป็นอย่างอื่น เป็นอะไรที่ไม่ใช่คนไปแล้ว พอไม่ใช่คนแล้ว ไอ้พวกคนปกติก็หวั่นใจ และ “ไม่รู้” ว่าจะอยู่ร่วมกับคนที่มีหัวกับไส้ในตอนกลางคืน เดินทางไปบ้านโน้นบ้านนี้ผ่านอากาศด้วยความเงียบได้
หนังเรื่อง “กระสือวาเลนไทน์” หนังไทยที่เราชอบมาก แต่ยังไม่เคยดู
“ถ้ากระสือเกิดจากการเล่นไสย
พี่ไทยเล่นไสยอยู่ประเทศเดียว
ในโลกเสียเมื่อไหร่”
เรื่องราวแบบกระสือนี่ไม่ได้มีที่ไทยที่เดียวครับ แต่เป็นความเชื่อ เป็นความกลัวที่เป็นวัฒนธรรมร่วมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กันเลยทีเดียว ผมไม่รู้ว่าคำว่ากระสือนี่มาจากรากภาษาอะไร (หาเท่าไรก็ไม่เจอ) แต่ในลาวก็มีผีแบบเดียวกัน (ไม่รู้ใครลอกใคร) เรียกว่า “กะสือ” ในกัมพูชาก็มีถูกเรียกว่า “อาป” (Ap) เข้าใจว่าในเวียตนามก็มีเหมือนกันถูกเรียกว่า “มา ลาย” (ma lai , อันนี้ข้อมูลน้อยมาก ไม่รู้ใครมั่วขึ้นมารึเปล่า)
แต่ที่โด่งดังและถูกพูดถึงขจรขจายต้องเป็น ปีนังกาลัน (Penanggalan) กระสือในแบบที่แพร่หลายในแถบแหลมมลายู ซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่ส่วนใหญ่ของมาเลเซีย เรื่องราวของปีนังกาลันนี่ก็คล้ายกับกระสือบ้านเราเนี่ยแหละครับ เป็นผู้หญิงสวยที่โดนของจากการเล่นไสยเล่นมนต์ดำ ทำให้ถอดหัวถอดไส้ออกมาเวลากลางคืน แต่เป็นเวอร์ชั่นที่โหดกว่าเพราะเป็นเหมือนแวมไพร์ที่ออกหาเลือดสดกิน ซึ่งเป้าหมายหลัก ๆ ก็จะเป็นผู้หญิงท้องใกล้คลอดและเด็กเกิดใหม่ ๆ (คล้าย ๆ เรื่องกินรกอยู่เหมือนกันเนอะ)
ส่วนการป้องกันและจัดการกับปีนังกาลัน นี่ก็แทบจะหนังม้วนเดียวกันกับหนังไทย คือหาต้นไม้ที่มีหนามมากันไว้ตามหน้าต่าง หรือใต้ถุนบ้าน ส่วนถ้าจะจับกระสือให้ได้ก็จับสังเกตผู้หญิงในหมู่บ้าน ที่ตอนกลางวันไม่ค่อยสบตา เลียปากบ่อย ๆ แล้วพอกลางคืนก็แอบไปดูแล้วจัดการกับร่างที่ถอดหัวไปแล้ว วิธีจัดการแบบโหด ๆ ก็มีตั้งแต่เอาเศษแก้วไปใส่ไว้ในตัว พอปีนังกาลันกลับเข้าร่างตับไตไส้พุงก็โดนทิ่มแทง โหดขึ้นมาอีกก็เอาร่างไปเผาแม่งเลย แต่วิธีที่น่ารักไม่รุนแรงก็มีเหมือนกัน คือจับร่างนั่งพลิกกลับด้าน ปีนังกาลันกลับมารีบ ๆ ก็ไม่ดูสี่ดูแปด เข้าร่างไปทั้งที่กลับด้านซะอย่างงั้น (ไอ้เหี้ยไอ้วิธีไม่รุนแรงนี่จริง ๆ หลอนนะ มึงจะเจอผู้หญิงที่หันหัวกลับหลัง 180 องศาอยู่ในหมู่บ้าน)
Comic เรื่อง Hellboy เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Penanggalan ไว้ตอนนึงเต็ม ๆ ด้วยนะ