เมื่อใช้ “ความตาย” ได้มากกว่าด่า พ่อมึง... แม่มึง...
เมื่อคนตายสื่อสารกับคนเป็น ความจริงทางวัฒนธรรมกับความไม่จริงทางวิทยาศาสตร์ เราจะเลือกเชื่ออย่างไรดี ?
Mysterium เป็นบอร์ดเกมที่วางอยู่บน theme การสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมที่วางบทบาทให้ผู้เล่นเป็นวิญญาณคนตายที่คอยสื่อสารกับคนเป็นเพื่อไขคดี รายละเอียดและความสนุกของมันเป็นอย่างไรนั้นคงต้องลองไปดูที่ชาว BGN ได้เล่นไว้
BGN Mysterium
เรื่องราวการสื่อสารระหว่างคนตายกับคนเป็น จริง ๆ แล้วแม่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลย จนกระทั่งความเป็นสมัยใหม่และวิทยาศาสตร์กลายมาเป็นกระแสหลักของสังคมโลกเราไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง ก่อนหน้านี้ทุกสังคมวัฒนธรรมมีการพูดถึงผีและวิญญาณอยู่เสมอ มากไปกว่านั้นคือผีและวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสังคม ที่ส่งผลถึงการดำเนินชีวิต การทำความเข้าใจเรื่องรอบ ๆ ตัว และรวมถึงการตัดสินใจต่าง ๆ นานาด้วย
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราลองพิจารณาประสบการณ์ของพวกเรากันดูนะครับ และจะเห็นว่าผีเนี่ย เป็นความจริงทางวัฒนธรรมและก็ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ในวัฒนธรรมเราด้วย
“พ่อมึงตาย แม่มึงตาย”
เมื่อคนในครอบครัวตายเนี่ย ไม่ต้องมองไปไกลถึงไหน มองในวัฒนธรรมไทยเนี่ยแหละ เราจะได้ยินเรื่องราวของความพยายามในการสื่อสารกันระหว่างคนตายและคนเป็นอยู่เนือง ๆ บ้างก็ว่าเข้าฝันมาคุยนู่นนี่ มาบ่นว่าขาดเหลืออะไร หรือมาให้เลขให้โชคก็ว่ากันไป บ้างก็บอกว่ารู้สึกเหมือนคนตายไม่ได้ไปไหน ยังวนเวียน ยังทำอะไรที่คุ้นเคยอยู่ในที่ ๆ คนตายเคยอยู่นั่นแหละ จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายดูจะมีความตั้งใจสื่อสารกันอยู่
พิธีจับปอบ
หรือถ้ามองย้อนกลับไปในวัฒธรรมท้องถิ่นเสียหน่อย เราก็จะเห็นเรื่องผีที่ส่งผลต่อคนอย่างชัดเจน เช่น เรื่องปอบในภาคอีสานที่ทุกวันนี้ก็ยังพอเห็นได้ตามข่าว ที่มีพิธีจับปอบในหมู่บ้านโน้นนี้ กรณีที่ปอบอยู่นอกร่างคนก็ดีไป แต่ก็มีหลายกรณีที่สุดท้ายมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นปอบ ทีนี้แม่งเลยส่งผลต่อคนจริง ๆ ครับ คือคนไหนถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบ ก็จะถูกคนในหมู่บ้านแบนไปเลย ไม่มีใครอยากคบค้าด้วย หนักเข้าหน่อยก็ถูกบีบให้ต้องย้ายออกจากหมู่บ้านเลยก็มี
“คนที่ต้องออกจากหมู่บ้านเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบมีเยอะ จนมีหมู่บ้านที่ตั้งใหม่จากคนที่ถูกกล่าวหาเลยทีเดียว”
เรื่องคนตายสื่อสารกับคนเป็นนี่ก็มีอีกมากครับที่อยู่ด้วยกันได้ โดยไม่ต้องไล่ฝ่ายใด ๆ ฝ่ายหนึ่งออกไป เช่น คนทรง หรือหมอผี ซึ่งเป็นคนที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางของการสื่อสาร และประนีประนอมความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นและคนตาย ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน วิน-วินกันไป ถ้านึกไม่ออกลองนึกถึง ริว จิตสัมผัส ก็ได้ครับ
คนเป็นกับคนตายมันก็อยู่ร่วมกันมาแบบนี้เป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ปีครับ จนกระทั่งวิทยาศาสตร์สถาปนาขึ้นมา พร้อมความต้องการในพิสูจน์ทุกอย่าง ซึ่งผีเนี่ยแม่งพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้สักที พอมาพร้อมเรื่องที่มันส่งผลต่อสังคม มีผลต่อการตัดสินใจของคน อ๊าวไอ้ห่า มึงตัดสินใจทำอะไรส่งผลต่อคนจริง ๆ แต่แม่งพิสูจน์ไม่ได้ จับต้องไม่ได้ว่าทำไมมึงถึงตัดสินใจแบบนั้น ก็เป็นปัญหาเลยครับ เรื่องผี ๆ จึงถูกผลักออกไปให้เป็นเรื่องงมงาย และกลายเป็น fiction ในหลายกรณี เช่น เรื่องปอบ ก็กลายเป็นหนังบ้านผีปอบไป ที่แม่งคนละเรื่องคนละราวกับที่คนที่อยู่ในวัฒนธรรมที่มีปอบอธิบายเลยฮะ
หนังเรื่องบ้านผีปอบ ต้นกำเนิดปอบหยิบ ที่ไม่ได้เหมือนปอบที่คนอีสานอธิบายกันสักนิด